วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เพราะเหตุใด Jailbreak แล้วหมดประกัน ??

 ??

คุณทราบกันหรือไม่ การ Jailbreak iPhone , iPad มีทั้งข้อดี และ ข้อเสีย ซึ่งข้อเสียที่ว่ามีแค่ข้อเดียวคือเครื่องจะหมดประกัน แต่ไม่หมดในทันที วันนี้เราจะมาทำการรู้จัก Jailbreak ซึ่งมันคือ Tools สวรรค์สำหรับคนใช้งาน แต่มันคือสิ่งที่ Apple จะเกลียดมากเป็นพิเศษ
ย้อนกลับไปเมื่อสมัยปี 2549 ถ้าจำไม่ผิดนะ Tools Jailbreak ตัวแรกได้ถูกปล่อยออกมาสมัย iPhone2G รุ่นแรกโดยฝีมือการทำของ Geo Hot หรือพี่โฟรโด้ของเรานั้นแหละ โดยที่สมัยก่อนหน้านั้น สรรพคุณของการ Jailbreak นั้นมีมากมายคณานับมาก ทำให้หลายๆคนอยากจะเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน และช่องทางลัดต่างๆให้กับเครื่อง iPhone ของท่าน
โดยที่เครื่องมือหรือการตั้งค่าใดๆ ก็ตามใน Cydia ที่ได้จากการ Jailbreak นั้น มันไม่มีติดมากับเครื่องในตอนแรก ไม่ว่าจะเป็น SB Setting , หรือ การเปลี่ยนธีม หรือ จะเป็นการแอบดาวโหลดไฟล์ต่างๆ บน Yourtube หรือจะเปลี่ยนฟอนต์ต่างๆ ซึ่งในตอนแรกๆ นั้นไม่มีมาให้ใน App Store แต่เราจะได้เครื่องเหล่านี้จากการ Jailbreak แทบจะทั้งสิ้น ทำให้คนที่เล่น iPhone สมัยนั้นต้องการความสะดวกสบายในการปรับแต่งเครื่องต่างๆ เลยหันมาทำการ Jailbreak iPhone กันสนั่นหวั่นไหวครับ เพราะความสามารถที่เครื่องสามารถทำได้มากขึ้น และ น่าใช้งานมากขึ้นนั้นเอง

แต่สิ่งเหล่านี้มันไม่ได้ได้มาโดยง่ายๆ เพราะทุกครั้งที่มีการ Jailbreak ออกมาทาง Apple จะมีการกลบด้วยการปล่อย iOS ที่สูงกว่าออกมาเพื่อป้องกันการ Jailbreak และปรับปรุงในส่วนของบัคต่างๆ บนเครื่องให้หายไปด้วย ดังนั้นทุกครั้งที่ทาง Apple ปล่อยออกมาแก้ ทางทีม Jailbreak จะไม่สามารถทำการแก้ไขให้ตัว iOS ที่สูงกว่า Jailbreak ได้ เลยทำให้หลายๆคนแอบเซ็ง  แต่ไม่เพียงเท่านั้น การ Jailbreak ยังทำให้เครื่องของคุณหมดประกันได้ด้วย แต่มันจะไม่หมดทันทีที่คุณ Jailbreak แล้ว มันจะไปหมดประกันตอนที่คุณเอาเครื่องของคุณที่ Jailbreak ไปเข้าศูนย์แล้ว ศูนย์ตรวจเจอถึงจะหมดประกันในทันที
ดังนั้นก่อนนำเครื่องที่มีการ Jailbreak ไปเข้าศูนย์เพื่อส่งซ่อมหรือเคลมควรจะทำการ Restore เพื่อเอา Jailbreakออกจากเครื่องเสียก่อน จึงจะไม่หมดประกันในทันทีครับ สาเหตุที่ Apple ไม่ชอบการ Jailbreak นั้น เพราะว่าเหมือนเรากำลัง Hack เครื่องอยู่ด้วยการติดตั้งไฟล์ที่ทาง Apple ไม่อนุญาติผ่านทาง Cydia นั้นเองครับ
และความสามารถของการ Jailbreak อีก 1 อย่างที่น่าสนใจคือ App Crack ก็หมายถึงว่า หาก App ไหนเราไม่ได้ซื้อแต่เราอยากจะโหลดมาลงเอง เราก็แค่ทำการ Jailbreak และโหลดไฟล์ App นั้นมาติดตั้งได้เอง ก็เหมือนกับการโกงไปแล้วในตัวครับ และนีั้ไม่ใช่แค่ 1 ในสาเหตุ แต่การ Jailbreak ยังทำให้ผู้ใช้งานสามารถทะลุทะลวงไปหาความลับด้วยการเปิด Row File ภายในเครื่องของ Apple เพื่อดูการออกแบบ OS ได้อีกด้วย
ถ้าพูดง่ายๆก็คือมองในแง่คนใช้ ก็อาจจะมีผลดีกับเรามากมายที่เราค้นหาได้จากใน Cydia แต่ถ้ามองถึงผลร้ายก็อย่างที่บอกครับ มันไม่เลวร้ายอย่างที่ทุกคนกลัวกับการหมดประกัน เพียงแต่ว่าเราจะต้องใช้มันให้คุ้มและเป็นครับ ถึงจะน่าใช้งานครับ
สนับสนุนเนื้อหา: Dr.Bia

ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีรอบโลกได้ที่นี่ >>> www.hitech.sanook.com

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สรุปบรรยากาศงาน เปิดโลกไอที พลิกสู่ชีวิตที่ดีกว่า ครั้งที่ 2 “Gear up to 4G”

สรุปบรรยากาศงาน เปิดโลกไอที พลิกสู่ชีวิตที่ดีกว่า ครั้งที่ 2 “

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาทางทางทีมงาน Sanook! Hitech ได้รับเกียรติได้เข้าร่วมงาน “เปิดโลกไอทีพลิดสู่ชีวิตที่ดีกว่า ครั้งที่ 2 GEaR UP TO 4G ณ ลาน Grand Hall ห้างสรรพสินค้า Siam Discovery Center  ภายในงานมีทั้งงานสัมมนาเกี่ยวกับไอทีโทรคมนาคมที่น่าสนใจ มากมาย เอาเป็นว่าไปดูกันดีกว่าครับยบรรยากาศในงานเป็นยังไงกันบ้าง!!
DSC_0105
ขอขอบคุณทุกท่านที่ไปร่วมงาน “เปิดโลกไอทีพลิดสู่ชีวิตที่ดีกว่า ครั้งที่ 2 GEaR UP TO 4G ณ ลาน Grand Hall ห้างสรรพสินค้า Siam Discovery Center  เมื่อวันที่ 23-24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งภายในงานมีทั้งงานสัมมนาเกี่ยวกับไอทีโทรคมนาคมที่น่าสนใจ ตลอดจนการแสดงมินิคอนเสิร์ต การเต้น cover dance สไตล์เกาหลี  นิทรรศการวิวัฒนาการด้านโทรคมนาคม จาก 1G สู่เทคโนโลยีแห่งอนาคตคือ LTE-A (4.5G)   ใครที่ไม่ได้มาเดี๋ยวมาลองชมบรรยากาศภายในงานกัน
photo
เริ่มต้นที่จุดแรกคือนิทรรศการวิวัฒนาการ โทรศัพท์มือถือ  1G-4G ซึ่งจะแสดงหน้าตามือถือในอดีต ที่มีขนาดใหญ่ต้องถือแบกไป จนถึงมือถือแบบมีเสายาวๆ ในช่วงนั้นไม่มีอะไรที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและใช้ data เลย การส่งสัญญาณในรูปแบบ Analog อยู่ จนไปถึงเทคโนโลยี 3G ที่ตอนนี้ประเทศไทยได้ใช้คลื่น 3G 2100 MHz มาตรฐานสากลเรียบร้อยแล้วในปีนี้ และแถมยังมี 4G LTE 2100 MHz ให้คนไทยได้ใช้บริการความเร็วที่สูงขึ้นด้วย แต่ก็ยังใช่ว่า 4G LTE ได้ใช้ทุกค่าย และยิ่งคลื่น LTE ที่คนทั่วโลกใช้ ส่วนใหญ่ก็คือ คลื่น 1800 MHz แต่ กสทช.มองไกลกว่านั้น เตรียมประมูล เทคโนโลยียุคใหม่ LTE-Advanced หรือเรียกเล่นๆว่า 4.5G  เลย ซึ่งจะได้จากการหมดสัมปทานคลื่น 900 MHz จาก AIS ที่จะหมดสัมปทานปีหน้า และ คลื่น 1800 MHz ที่ truemove และ DPC หมดสัมปทานแล้วเมื่อกันยายนที่ผ่านมา มาประมูลเป็นเทคโนโลยี 4.5 G กัน คาดว่าถ้าไม่ขัดต่อกฎหมายอื่นใดๆ จะสามารถจัดประมูล 4.5G ภายในเดือนกันยายน 2557   โดยนิทรรศการนี้ ยังสามารถใช้สมาร์ทโฟนที่ลงแอพ QR CODE Reader มาสแกน QR CODE เพื่อฟังเสียงบรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับเทคโนโลยีในยุคต่างๆได้ด้วย!
page3
page2
นอกจากนี้ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนในกิจการโทรคมนาคม กสทช. หรือที่คุณได้รู้จักกับ Callcenter 1200 ปกติแล้ว คุณจะสามารถได้คุยกันผ่านทางโทรศัพท์แค่เสียงเท่านั้น แต่ในงานนี้คุณจะได้คุยกับเจ้าหน้าที่ กสทช.แบบเห็นหน้าคุยกันได้ ด้วย Google Hangout รองรับทั้งทางคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต เรียกได้ว่า หากคุณเจอปัญหาด้านโทรคมนาคม แจ้งแบบให้เจ้าหน้าที่เห็นปัญหากันจะจะ คุณสามารถใช้ช่องทาง Hangout ในการร้องเรียนได้เลย และได้เห็นหน้าตาเจ้าหน้าที่รับเรื่องร้องเรียน จาก กสทช. ด้วย
gear-up-to-4g-it24hrs-pic-06
มา ส่วนที่ 3 คือบูธผู้สนับสนุนต่างๆ เริ่มจาก dtac ที่นำซิมเบอร์สวยในราคาที่เป็นเจ้าของได้มาให้ผู้ใช้งานได้เลือกเป็นเจ้าของ เบอร์สวยๆกัน รวมถึงอุปกรณ์ 3G ราคาพิเศษภายในงาน
gear-up-to-4g-it24hrs-pic-07
ทางด้าน AIS ก็มีพริ๊ตตี้และพนักงานจาก AIS3G มาให้คำแนะนำเกี่ยวกับแพคเกจสมาร์ทโฟน 3G ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้งานของคุณ
ส่วน Thai Samsung Mobile ก็มาพร้อมกับสมาร์ทโฟนรุ่นท็อป อย่าง Samsung Galaxy Note 3 มาพร้อมกับนาฬิกา Smart Watch ที่สามารถโทรได้ ถ่ายรูปได้ด้วย อย่าง Galaxy ที่ให้คุณได้สัมผัสลองความไฮเทคอย่างใกล้ชิด และใครที่ใช้ Samsung Galaxy S4 อยู่ ได้ไปเลย เคส  Samsung Galaxy S4 แบบ Limited Edition ออกแบบโดยศิลปินชื่อดัง นอกจากนี้ยังสามารถปรึกษาเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับเคล็ดลับการใช้งาน Samsung Galaxy ได้ด้วย
แต่ ยังไม่หมด AIS จับมือกับ Samsung ในการเป็นส่วนหนึ่งของโครงการอ่านหนังสือเพื่อคนตาบอดด้วยการผลิตแอพ Read For The Blind ให้ผู้ใช้สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต สามารถช่วยอ่านหนังสือให้คนตาบอดฟังได้ทุกที่ทุกเวลา สามารถใช้ได้บนมือถือทุกเครือข่ายด้วย เป็นการช่วยเหลือสังคมที่ง่าย และได้บุญด้วย
ปิด ท้ายด้วย truemove H มีหนังสือมาแจกให้กับผู้เข้าชมงานเปิดโลกไอทีครั้งที่ 2 ด้วย ในชื่อ GIVING การให้คือการสื่อสารที่ดีที่สุด รวมเรื่องราวเกี่ยวกับแรงบันดาลใจของคนทุกอาขีพ ที่ต้องใช้งาน สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต ในการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ช่วยเหลือสังคม และคุณภาพชีวิตคนไทย นอกจากนี้หนังสือเล่มนี้ยังให้ความรู้เกี่ยวกับ สถานที่ท่องเที่ยว  เทคโนโลยี 4G LTE   Gadget ใหม่ๆ และแอพพลิเคชั่นเด็ดๆด้วย
คราวนี้มาถึงในส่วนสัมมนาบนเวที โดยเฉพาะวันอาทิตย์ มีการแสดงเต้นบนเวทีสไตล์เกาหลี  cover dance และมินิคอนเสิร์ตด้วย
และยังมีวิทยากรพิเศษ อีกหนึ่งท่าน ที่มาร่วมวงเสวนากับวิทยากรบนเวที สดๆจากภูเก็ต ผ่านระบบ 3G ด้วยโปรแกรม Google+ Hangouts ซึ่งก็คือเจ้าพ่อ e-commerce อย่างคุณภาวุธ พงษ์วิทยภานุ นายกสมาคมพานิชย์อิเลคทรอนิกส์ไทย โดยวิทยากรทั้งหมดบนเวทีและพิธีกร สามารถร่วมพูดคุยเสวนากับคุณภาวุธได้พร้อมๆกันพร้อมๆกับการถ่ายทอดสดไปด้วย โดยคุณภาวุธ ได้ร่วมแนะนำถึงการทำงานและการใช้ชีวิตในยุคโมบายให้เกิดประโยชน์สูงสุด720911560154
ยังไม่พอ ยังมีศิลปินมาร่วมเป็นแขกรับเชิญด้วย  คือ  ซอ จี ยอน นักร้องและนักแสดงไทยเชื้อสายเกาหลี
และ นัททิว (ณัฎฐ์ ทิวไผ่งาม)  นักร้องไทยที่ได้ออกอัลบัมเพลงในเกาหลี
และหลังจบสัมมนาแต่ละหัวข้อ ก็มีการหาผู้โชคดีมาตอบคำถามและเล่นเกมลุ้นตั๋วเดินทางไปทริปทัศนศึกษาที่ ประเทศเกาหลีใต้ด้วย ตลอด 2 วัน มีผู้ได้ร่วมไปเกาหลีกับเรา 10 ท่านด้วยกัน! แต่สำหรับท่านที่พลาดรางวัลไปในงาน หรือท่านที่ไม่สามารถไปร่วมงานได้ ยังไปร่วมลุ้นรางวัลไปเกาหลีกับเรา รางวัลสุดท้าย 1 รางวัล 2 ที่นั่งกันต่อที่ facebook page it24hrs (คลิ๊กเพื่อไปยังหน้ากิจกรรม)
DSC_0340
720920668873
และทั้งหมดนี้คือบรรยากาศภายในงานเปิดโลกไอทีพลิกสู่ชีวิตที่ดีกว่า โดย ไอที24ชั่วโมง ครอบครัวข่าว3 สำนักงาน กสทช. AIS , dtac , Truemove H , Samsung ขอบคุณทุกท่านที่มาชมงานในครั้งนี้ค่ะ แต่กิจกรรมนี้ยังไม่จบเพียงเท่านี้ เรายังจะพาผู้เข้าฟังสัมมนาที่โชคดี ไปร่วมเรียนรู้ ถ่ายทอดประสบการณ์กับเราที่เกาหลีใต้ 5 วัน เพื่อไปศึกษาดูงานกันว่า เกาหลีใต้ พัฒนาได้ด้วยเทคโนโลยี และวิถีชีวิต แนวคิดอย่างไร เพื่อนำกลับมาพัฒนาตนเอง สังคม และประเทศไทยของเราต่อไป! รอติดตามได้ทางรายการ ไอที24 ชั่วโมง ธันวาคมนี้
สนับสนุนเนื้อหา: www.it24hrs.com

วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สุสานออนไลน์ หลุมศพในโลกไซเบอร์

 หลุมศพในโลกไซเบอร์

ผมเชื่อว่าคนที่ใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่างเฟซบุ๊ก ซึ่งทั่วโลกมีอยู่ราวๆ 1,200 ล้านคน อาจจะเคยสงสัยเหมือนกันว่าหากผู้ใช้งานเสียชีวิตไปแล้ว หน้าเฟซบุ๊กของคนๆ นั้นจะไปยังไงต่อ จากประสบการณ์เท่าที่ใช้เฟซบุ๊กมา หน้าเฟซบุ๊กคนๆ นั้นก็ยังคงอยู่ต่อไป น่าจะอยู่ไปตราบเท่าที่เฟซบุ๊กยังให้บริการอยู่ในโลกนี้ เพียงแต่จะไม่มีการอัพเดตอะไรใดๆ เหมือนเมื่อคนนั้นยังมีชีวิตอยู่เท่านั้นเอง
แต่ก็จะยังคงมีการอัพเดตทางอ้อมขึ้นมาให้เห็นอยู่เหมือน อย่างเช่นเมื่อไม่กี่วันก่อน บนหน้าเฟซบุ๊กของผมก็มีข้อความและภาพบนเฟซบุ๊กของคนรู้จักที่เสียชีวิตไปแล้วอัพเดตขึ้นมา ไม่ใช่ว่าวิญญาณลุกจากหลุมมาอัพเดตหรอกครับ แต่เกิดจากเพื่อนของเขาสักคนแท็กรูปภาพอะไรสักอย่างไปที่เฟซบุ๊กของเขา และเนื่องจากเขาผู้เสียชีวิตไปแล้วเป็นเพื่อนกับผมบนเฟซบุ๊ก เมื่อเขาถูกแท็ก มันก็มาแสดงที่หน้าไทม์ไลน์ของผมด้วย
นั่นหมายความว่าในสังคมเสมือนจริงอันกว้างใหญ่ไพศาลของเฟซบุ๊กนั้นมีปะปนกันไปทั้งคนเป็นและคนตาย เพียงแต่จำนวนบัญชีผู้ใช้งานที่เสียชีวิตไปแล้วมีไม่มากเพราะเฟซบุ๊กเกิดมาไม่นาน
แน่นอนว่ามีคนสงสัยว่าอีกนานไหมกว่าที่จำนวนผู้ใช้งานที่เสียชีวิตแล้วจะมีมากกว่าจะนวนผู้ใช้งานที่ยังมีชีวิต
คำถามนี้ถูกส่งไปถามที่เว็บไซต์what-if.xkcd.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์บริการค้นหาคำตอบจากคำถามที่ว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้า... และคำตอบจากคำถามดังกล่าวก็คือ ราวๆ ทศวรรษ 2060 หรือไม่ก็ 2130 คนเฟซบุ๊กจะมีบัญชีผู้ใช้งานที่เสียชีวิตไปแล้วมากกว่าคนที่ยังมีชีวิต
คำตอบไม่ได้มั่วๆ มาตอบนะครับ แต่คำนวณโดยหลักการทางคณิตศาสตร์และสถิติ พิจารณาอัตราการเติบโต และอายุเฉลี่ยของผู้ใช้งานประกอบ แต่ที่มีคำตอบสองคำตอบเพราะคำตอบแรกใช้แนวโน้มการเติบโตและตกต่ำหรือวงจรชีวิตโดยเฉลี่ยของเว็บไซต์มารวมเป็นปัจจัยหนึ่งด้วยขณะที่คำตอบหลังอยู่บนสมมติฐานที่ว่าเฟซบุ๊กจะเติบโตไปเรื่อยๆ
เฟซบุ๊กมีนโยบายให้บัญชีผู้ใช้งานที่เสียชีวิตแล้วเป็นเสมือนอนุสรณ์แห่งความทรงจำสำหรับญาติพี่น้องเพื่อนพ้องได้ต่อไปโดยญาติพี่น้องต้องแจ้งไปยังเฟซบุ๊ก หลังจากนั้นบัญชีจะไม่มีใครล็อกอินเข้าไปได้ แต่ยังมีอยู่ และอะไรที่ผู้เสียชีวิตเคยแชร์ไว้ก็จะยังเข้าถึงได้เหมือนเดิม
ที่สำคัญคือยังส่งข้อความส่วนตัวถึงผู้เสียชีวิตได้เหมือนเดิม
จะว่าไปแล้ววิธีนี้ก็เหมือนแปรสภาพให้เฟซบุ๊กเป็นเหมือนหลุมศพออนไลน์ของคนที่เสียชีวิตไปแล้วนั่นเองแต่ไม่ใช่สุสานออนไลน์ เพราะจะไปเปิดบัญชีให้ผู้เสียชีวิตเพื่อเป็นหลุมศพออนไลน์ไม่ได้
ถ้าสุสานออนไลน์ต้องที่เว็บ www.neshama.info ของอิสราเอลที่เพิ่งเปิดไม่นานมานี้ครับ เว็บนี้เปิดมาให้สามารถไปสร้างเพจที่เปรียบเสมือนหลุมศพหรืออนุสรณ์สถานออนไลน์สำหรับผู้ตายได้เปิดเพจ อัพโหลดภาพหลุมศพ และเปิดให้เข้าไปเขียนไว้อาลัย เรื่องราวความทรงจำ ภาพถ่าย วิดีโอ ฯลฯ ได้หมด
ปัจจุบันเนชามามีภาพถ่ายสุสานในอิสราเอล 5 แห่ง และภาพถ่ายหลุมฝังศพกว่า 120,000 หลุม
มีบริการพิเศษคือสร้างเพจล่วงหน้าของตัวเองไว้ก่อนตายด้วยครับ
แต่อย่าลืมว่าสุสานออนไลน์เนชามาเป็นเรื่องของการรำลึกผู้จากไปด้วยวิธีใหม่ในโลกออนไลน์เป็นเว็บไซต์ขึงขังจริงจัง ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แบบโซเชียลเน็ตเวิร์กทั่วๆ ไป
ที่มา : นสพ.มติชน
โดย ศิริพงษ์ วิทยวิโรจน์ siripong@kidtalentz.com
ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีรอบโลกได้ที่นี่ >>> www.hitech.sanook.com

วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

กสทช. สั่งโอเปอร์เตอร์ทุกค่าย ห้ามตัดสัญญาณมือถือในพื้นที่ชุมนุม

กสทช. สั่งโอเปอร์เตอร์ทุกค่าย ห้ามตัดสัญญาณมือถือในพื้นที่ชุมนุม

เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. กล่าวว่า ตามที่ได้มีการชุมนุมทางการเมือง และมีการประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงในหลายพื้นที่ นั้น อาจทำให้การสื่อสารในพื้นที่ดังกล่าวเกิดการคับคั่งของสัญญาณ สำนักงาน กสทช. จึงได้สั่งการให้ผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกรายดูแลและตรวจสอบคุณภาพสัญญาณให้ประชาชนสามารถติดต่อสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะนี้ยังไม่มีการประสานจากหน่วยงานใดให้ตัดสัญญาณ ขอให้ประชาชนมั่นใจว่าจะสามารถใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ตามปกติ และหากพบปัญหาจากการใช้บริการสามารถแจ้ง และร้องเรียนมาที่ศูนย์รับเรื่องร้องเรียน สำนักงาน กสทช. หมายเลขโทรศัพท์ 1200 ได้ทันที
เป็นหน้าที่ของสำนักงาน กสทช. โดยตรงที่จะดูแลประชาชนผู้ใช้บริการให้ได้รับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่มีประสิทธิภาพ นายฐากร กล่าว
สำหรับวันนี้ 25 พฤศจิกายน ซึ่งมีการชุมนุมกระจายกันหลายจุด รวมถึงสถานีโทรทัศน์ฟรีทีวีทุกช่องด้วย จากที่ทีมงาน it24hrs และ ผู้สื่อข่าวภาคสนามช่อง 3 ได้ใช้งานโทรศัพท์มือถือขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุมมาชุมนุม ณ ที่อาคารมาลีนนท์นั้น พบว่ายังสามารถโทรศัพท์คุยได้ตามปกติ แต่ ในเรื่องส่งข้อมูลผ่านทางระบบ  นั้นส่งได้ช้า รวมทั้งหลุดในบางครั้ง คาดว่าเพราะมีผู้ใช้งานซึ่งเป็นผู้ชุมนุมนี้ ใช้งาน 3G จำนวนมากในการโพสต์รูปภาพ โพสสถานะต่างๆขึ้น Social Network ซึ่งยังไม่พบว่ามีการตัดสัญญาณโทรศัพท์
ขอบคุณที่มา: www.it24hrs.com
ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีรอบโลกได้ที่นี่ >>> www.hitech.sanook.com

ขาย iPad 4, iPad mini ไปซื้อ iPad 5, iPad mini Retina ดีไหม? คุ้มไหม?

ขาย iPad 4iPad mini ไปซื้อ , iPad mini Retina ดีไหม? คุ้มไหม?

ก็เปิดตัวกันไปอย่างเป็นทางการแล้วนะครับ กับ iPad Air หรือ iPad รุ่นที่ 5 รวมไปถึงยังมี iPad mini Retina ที่ต่อยอดมาจากความสำเร็จของ iPad mini อีกด้วย ซึ่งเชื่อได้เลยว่าหลายๆ คนให้ความสนใจ iPad รุ่นใหม่นี้ทั้งสองรุ่น เพราะจากการที่ได้รับการปรับปรุ่งเปลี่ยนแปลงพอสมควร ในราคาที่เท่าเดิม ทำให้บางคนอาจจะคิดขาย iPad เครื่องเก่ามาซื้อ iPad ใหม่ก็เป็นไปได้
ในบทความนี้เราก็เลยจะมานำเสนอกันหน่อยว่า ถ้าจะขาย iPad 4, iPad mini ไปซื้อ iPad 5, iPad mini Retina มันจะดีหรือเปล่า ที่ก่อนอื่นเราต้องมาดูกันว่า iPad รุ่นใหม่อย่าง iPad 5, iPad mini Retina มีอะไรที่เหนือกว่าบ้าง ซึ่งเดี๋ยวจะขอแยกกล่าวเป็นรุ่นๆ นะครับ

สิ่งที่ iPad Air เหนือกว่า iPad 4

  • ดีไซน์สวยกว่าเดิม โดยต่อยอดมาจาก iPad mini
  • ตัวเครื่องบางกว่า (7.4 ม.ม.) ทำให้พกพาได้ง่ายยิ่งขึ้น
  • ตัวเครื่องเบากว่าเดิม (469 กรัม) ทำให้หยิบถือนานๆ ไม่เป็นภาระมาก
  • ตัวเครื่องเล็กกว่าเดิม ด้วยดีไซน์ใหม่ขอบจอด้านข้างแคบลง
  • ประสิทธิภาพแรงกว่าเดิม ด้วยชิปประมวลผล Apple A7
  • กล้องความละเอียดเท่าเดิมแต่มีการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น
  • ไมโคโฟนติดตั้งมาเป็นแบบคู่ ทำให้คุณภาพดีกว่าเดิม
  • มีสีใหม่ให้เลือกคือ Space Gray (มาแทนสีดำแบบเดิมๆ)
  • ฟรีแอพพลิเคชั่น iPhoto, iMovie, GarageBand, Pages, Number, Keynote
เรียกได้ว่าจากข้อดีของ iPad Air ที่เหนือกว่า iPad 4 รุ่นก่อน มีอยู่หลากหลายข้อด้วยกัน แต่ที่เป็นปัจจัยจริงนอกเหนือจากสเปกที่ดีขึ้นน่าจะเป็นเรื่องของน้ำหนักและความบาง เพราะจะทำให้เราใช้งานได้ถนัดมือมากยิ่งขึ้น ถือได้นานมากยอ่ง นอนเล่นได้นานมากยิ่งขึ้น ซึ่งถึงแม้ว่าอาจจะดูไม่ใช่นวัตกรรมอะไรใหม่ๆ แต่ก็เป็นอะไรที่เราสามารถใช้งานได้จริงๆ และเป็นความต้องการที่เราต้องการจริงๆ
โดยในส่วนของราคาของ iPad Air ก็คาดการณ์ว่าคงจะมาเท่าเดิมคือเริ่มต้นที่ 16,500 บาท ซึ่งถ้าในตอนนี้ถ้าเราขาย iPad 4 เป็นของมือสองก็จะได้ประมาณ 12,000 บาท ((กรณีสภาพดีของครบ)) เทียบแล้วก็จะเห็นว่าเราจำเป็นต้องเพิ่มส่วนต่างประมาณ 4,500 บาท คิดง่ายๆ ลองนำไปหาร 365 วันก็จะพบว่าตกวันละ 12 บาทเท่านั้น ที่อย่างไรก็ตามตรงนี้แต่ละคนคงต้องคำนวณเองว่าเหมาะสมที่จะอัพเกรดเป็น iPad Air หรือเปล่า แต่โดยส่วนตัวแล้วถ้าเราเป็นคนที่ใช้งาน iPad เป็นประจำอยู่แล้ว ก็คุ้มค่าที่เปลี่ยนเป็น iPad Air นะครับ รับรองว่าอย่างน้อยๆ มือเราจะล้าน้อยลงอย่างแน่นอน

สิ่งที่ iPad mini Retina เหนือกว่า iPad mini

  • มาพร้อมหน้าจอเทคโนโลยี Retina Display ที่สวยกว่าเดิม
  • ความละเอียดอยู่ที่ 2048 x 1536 พิกเซล ที่ความหนาแน่นพิกเซล 326 ppi
  • ประสิทธิภาพแรงระดับ iPad Air เพราะใช้ชิป Apple A7 เหมือนกัน
  • สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนาน 10 ชั่วโมง
  • มีสีใหม่ให้เลือกคือ Space Gray (มาแทนสีดำแบบเดิมๆ)
  • ฟรีแอพพลิเคชั่น iPhoto, iMovie, GarageBand, Pages, Number, Keynote
หลักๆ เลยข้อดีที่ iPad mini Retina เหนือกว่ารุ่นก่อนก็คือ หน้าจอเป็นแบบ Retina Display ที่การันตีได้เลยว่าดีกว่าเดิมแบบรู้สึกได้ เพราะจากส่วนที่เคยใช้มาสำหรับ iPad mini รุ่นแรก ต้องบอกว่าหน้าค่อนข้างแย่ทีเดียว ฉะนั้นในรุ่นใหม่นี้ทาง Apple ก็เลยส่ง iPad mini รุ่นสองที่มาพร้อม Retina Display ตามคาด รวมไปถึงสเปกยังถือว่าจัดเต็ม ด้วยชิปประมวลผลตัวเดียวกับที่ใช้ใน iPad Air และ iPhone 5s ทีเดียว เรียกได้ว่าในเรื่องของวความช้าหรือประตุกทีเกิดขึ้นกับ iPad mini รุ่นเก่า จะไม่เกิดขึ้นกับ iPad mini Retina แน่นอน
สำหรับราคาของ iPad mini Retina ก็ถือว่าสูงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย (คาดประมาณ 1,500 บาท) จากเดิมที่ iPad mini รุ่นเก่าขาย 11,500 บาท ก็อาจจะปรับขึ้นมาเป็น 12,900 บาท ซึ่งในตอนนี้ถ้าเราจะขาย iPad mini เป็นมือสองล่ะก็จะอยู่ที่ประมาณ 8,000 - 9,000 บาท (กรณีสภาพดีของครบ) แน่นอนว่าในการเพิ่มส่วนต่าง อาจจำเป็นต้องเพิ่มประมาณ 4,000 - 5,000 บาทเลยทีเดียว แต่ถ้าถามว่าคุ้มค่าไหม คงขึ้นอยู่กับความจำเป็นของแต่ละคน ซึ่งน้อยๆ สมมุติว่าเราขายรุ่นเก่ามาซื้อ iPad mini Retina ก็รับประกันได้ว่า เราจะได้ประสบการณ์ใช้งานที่เยี่ยมยอดมากกว่าเดิมแน่นอน จากการที่หน้าจอมีความสวยงามและละเอียดขึ้น อีกทั้งการใช้งานต่างๆ ก็มีความลื่นไหลจากสเปกที่ใหม่ล่าสุด
สรุปง่ายๆ สำหรับคนที่มีความคิดที่จะ iPad 4, iPad mini แล้วไปซื้อ iPad 5 หรือ iPad mini Retina ล่ะก็ ต้องบอกว่าคุ้มค่าและเหมาะสมครับ สำหรับคนที่ใช้งาน iPad เป็นประจำและให้ความสำคัญในเรื่องของประสบการณ์ใช้งานที่ดี ที่สำคัญยังได้แอพพลิเคชั่นที่เคยเสียเงินมาใช้งานฟรีๆ อีกด้วย อย่าง iPhoto, iMovie, GarageBand, Pages, Number, Keynote ซึ่งนับได้ว่าเป็นแอพพลิเคชั่นระดับคุณภาพของทาง Apple ทั้งนั้น
ส่วนใครถ้าคิดว่า iPad ไม่ค่อยได้ใช้งานมากนัก หรือก็ยังพอใช้งานได้อยู่ ก็ไม่จำเป็นต้องตามกระแสไปซื้อรุ่นใหม่ตามคนอื่นนะครับ เพราะเป็นการจ่ายเงินที่ไม่เหมาะสมเท่าไหร่เลย (ซื้อมาก็ไม่ค่อยจะได้ใช้)
สนับสนุนเนื้อหา: http://notebookspec.com/ขาย-ipad-4-ipad-mini-ไปซื้อ-ipad-5-ipad-mini-retina-ดีไหม-คุ้มไหม/199823
ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีรอบโลกได้ที่นี่ >>> www.hitech.sanook.com

คอมกับมือถือจะซื้อมาใช้งาน ควรให้ความสำคัญอะไรมากกว่ากัน

คอมกับมือถือจะซื้อมาใช้งาน ควรให้ความสำคัญอะไรมากกว่ากัน

เรียกได้ว่าในปัจจุบันในส่วนของสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต (ขอเรียกรวมๆ ว่ามือถือ) ก็ได้กลายเป็นอีกเครื่องหนึ่งของเราไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งนั่นมาจากความสามารถที่ครบครันทำให้เราสามารถทำงานได้ผ่านทางสมาร์ท โฟนหรือแท็บเล็ตได้ทันที อาทิ การใช้งานอีเมลเพื่อใช้งานติดต่อสื่อสารหรือทำธุระ หรือไม่ก็ใช้งานโซเซียลเน็ตเวิร์คผ่านทางแอพพลิเคชั่นต่างๆ รวมไปถึงความบันเทิงที่หาได้จากการเล่นเกม ดูหนังหรือฟังเพลง บนมือถือเครื่องนี้เพียงเครื่องเดียว
ด้วยความที่ว่ามีประสิทธิภาพการทำงานครบครันแต่มีขนาดตัวเครื่องที่เล็ก ทำให้เราสามารถพกพาไปใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลา (ที่มีอินเตอร์เน็ต) เรียกได้ว่ามีโอกาสได้หยิบขึ้นมาใช้งานกว่ากว่าการพกพาโน้ตบุ๊คแน่นอน ที่สำคัญหลายๆ คนยังคิดว่าเป็นเครื่องมือสัญลักษณ์บ่งบอกความเป็นตัวตนได้อีกด้วย อาทิเช่น ใช้ iPhone หรือสมาร์ทโฟนตัวท๊อปแบรนด์อื่นๆ ก็ดูสวยงามหรูหราและทันสมัยอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เชื่อได้ว่าใครๆ ก็อยากจะเลือกใช้งานของที่ดีที่สุดเสมอ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก มือถือ แท็บเล็ต แต่ด้วยงบประมาณที่จำกัดทำให้หลายๆ คนกลับมาคิดว่าตัวเองนั้นต้องให้ความสำคัญอะไรมากกว่ากัน เพราะจะได้เลือกซื้ออุปกรณ์นั้นๆ มาใช้งานได้อย่างมีประโยนช์และได้ใช้งานจริงๆ มากที่สุด
ยกกรณีตัวอย่างเป็นเพื่อนของผู้เขียนเอง เค้ามีเงินอยู่ 40,000 บาท ต้องการซื้อมือถือและโน้ตบุ๊คอย่างละเครื่อง โดยในส่วนของมือถือได้เลือกซื้อเป็น iPhone 5s ราคาประมาณสองหมื่นบาทกว่าๆ ทำให้เหลือเงินที่จะซื้อคอมพิวเตอร์ไม่ถึง 20,000 บาท ซึ่งเค้าก็คิดแล้วว่าต้องการคอมพิวเตอร์มาใช้งานทั่วไปเท่านั้น ขนาดหน้าจอเป็น 14 นิ้ว สเปกพอใช้งานทั่วไปก็พอแล้ว เพราะทุกวันนี้เปิดคอมมาทีก็เพื่อพิมพ์งานหรือดูหนังเท่านั้นเอง
หรืออีกกรณีมีงบเท่ากันคือ 40,000 บาท ทางฝั่งเพื่อนคนนี้ต้องการมือถือที่พอใช้งานได้ แต่โน้ตบุ๊คของแรงๆ ไว้ก่อน เพื่อที่จะเอามาเล่นเกม 3 มิติ ทำให้ในการเลือกซื้อมือถือขอเป็นเพียงสมาร์ทโฟนราคาหมื่นบาทระดับกลางๆ ที่พอใช้งานโซเซียลเน็ตเวิร์คได้ก็เพียงพอแล้ว ซึ่งทางโน้ตบุ๊คที่เลือกซื้อนั้น ได้เลือกที่ใช้ชิปประมวลผลเป็น Core i7 พร้อมการ์ดจอแยกประมาสิทธิภาพดี โดยราคาก็ตกอยู่ที่ประมาณเกือบ 30,000 บาท
โดยถ้าวัดความสำคัญกับการเลือกซื้อของอุปกรณ์ทั้งสองอย่างหลักๆ ก็จะแบ่งออกมาได้ ดังต่อไปนี้

คนที่ให้ความสำคัญกับการซื้อมือถือใหม่มากกว่าคอมใหม่

  • ไม่ค่อยได้เปิดใช้คอมพิวเตอร์ของตัวเองนัก
  • มีคอมพิวเตอร์ใช้งานที่ออฟฟิศอยู่แล้ว
  • คอมพิวเตอร์เพิ่งซื้อมาใหม่ ยังใช้งานได้สมบูรณ์อยู่
  • ทุกวันนี้ก็ใช้มือถือทดแทนคอมพิวเตอร์อยู่แล้ว
  • ไม่ได้มีงานเฉพาะทางที่จำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ส่วนตัว
  • คิดว่าคอมพิวเตอร์เครื่องเก่าก็ยังใช้งานได้ดีอยู่
  • มือถือรุ่นเก่าใช้งานไม่ไหวแล้ว ต้องซื้อใหม่เสียที
  • มีมือถือรุ่นที่อยากได้ตั้งไว้ในใจอยู่แล้ว

คนที่ให้ความสำคัญกับการซื้อคอมใหม่มากกว่ามือถือ

  • มือถือรุ่นอะไรก็ได้ เพราะใช้งานแค่โทรเข้าออก
  • จำเป็นต้องใช้งานคอมพิวเตอร์ส่วนตัวอยู่ทุกๆ วัน
  • มือถือเพิ่งซื้อมาใหม่ ใช้งานได้ดีเยี่ยมอยู่แล้ว
  • คอมพิวเตอร์ต้องมีประสิทธิภาพดีอยู่ตลอด (อาทิ การนำไปเล่นเกม)
  • งานที่ทำไม้สามารถใช้มือถือทดแทนคอมพิวเตอร์ได้
  • มือถือเครื่องเดิมก็ยังใช้งานได้โอเคอยู่
  • คอมพิวเตอร์เครื่องเก่าเริ่มทำงานไม่ไหวแล้ว
  • มีคอมพิวเตอร์รุ่นที่ต้องการ และมีแผนจะซื้ออยู่แล้ว
สรุปง่ายๆ สั้นๆ คงอยู่ที่คนนั้นจริงๆ นะครับ ว่าเค้ามีความต้องการแบบใดแล้วจึงให้ความสำคัญไปทางนั้น หรือถ้าใครมีงบประมาณเหลือๆ จะเน้นหนักไปทั้งมือถือทั้งคอมก็ทำได้นะครับ อันนี้คงไม่ว่ากัน
ยังไงเพื่อนๆ คิดเห็นอย่างก็ลองมาแชร์กันหน่อยนะครับ
ขอบคุณเนื้อหา และภาพประกอบ
ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีรอบโลกได้ที่นี่ >>> www.hitech.sanook.com

วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Galaxy S3 พบปัญหาหลังใช้ Android 4.3

 พบปัญหาหลังใช้ Android 4.3

ทันทีที่ Samsung เปิดให้ Galaxy S3 ได้อัพเดตเป็น Android 4.3 Jelly Bean ผู้ใช้หลายรายกลับพบปัญหาในระหว่างใช้งาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ Galaxy S3 ที่ยังไม่ได้อัพเดตอาจต้องพิจารณาให้ดีอีกครั้ง
samsung-premium-suite-android-4.3
โดยปัญหาที่พบครั้งนี้เกิดขึ้นใน Galaxy S3 ที่ขายในสหราชอาณาจักร รหัส GT-I9300 และเครื่องในเกาหลีใต้ รหัส SHV-E210K ซึ่งหลังจากอัพเดตเป็น Android 4.3 Jelly Bean ส่งผลให้แบตเตอรี่ลดลงอย่างรวดเร็ว, แอพพลิเคชั่นเด้งบ่อยครั้ง, การเชื่อมต่อ Wi-Fi ไม่เสถียร, เครื่องสะดุดบ่อย และเครื่องค้างบนหน้าจอล็อคสกรีนทำให้ต้องถอดแบตเตอรี่ออกสถานเดียว
จากปัญหาที่พบทำให้สำนักงาน Samsung ประจำสหราชอาณาจักรได้โพสต์ข้อความผ่านหน้าแฟนเพจถึงการรับรู้ปัญหาที่เกิด ขึ้นแล้ว และกำลังให้แผนกวิศวกรรมเร่งตรวจสอบและดำเนินการแก้ไขในทันที
นอกจากนี้ปัญหาดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อการอัพเดตเป็น Android 4.3 Jelly Bean ของ Galaxy Note 2 ในเร็วๆนี้ ที่ส่อแววต้องเลื่อนการปล่อยอัพเดตออกไปก่อน
อ้างอิงจาก androidauthority
สนับสนุนเนื้อหา: Arip

วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เมื่อวลีเด็ดในโลกออนไลน์ “นะครัช แหม่” โดนแบนซะแล้วนะครัช แหม่!

height=495
อัพเดทข่าวล่าสุด กลายเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตให้หลายฝ่ายออกมาเถียงกันเป็นวรรคเป็นเวรในโลกออนไลน์เมื่อวลีเด็ดในโลกออนไลน์ที่ติดปากคนไทยใช้เน็ตอย่าง นะครัช แหม่ ที่มาจากแฟนเพจ “วีรศากดิ์ นิลกาด” ได้ถูกเว็บไซต์บางแห่งแบนการใช้คำดังกล่าวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะครัช แหม่ๆๆ
โดยเว็บไซต์ที่ว่านี้ก็คือ JokerGameTH ซึ่งเป็นเว็บบอร์ดแจกเกมส์ให้ดาวน์โหลดแหล่งใหญ่ของประเทศไทยได้ประกาศแบนคำว่า “ครัช” และคำใกล้เคียงอื่นๆเช่น “ครัสคลัชครัญเครป ฯลฯ” ที่ใช้แทนความหมายว่า “ครับ” โดยให้เหตุผลว่าเป็นการคงไว้ซึ่งการใช้ภาษาไทยที่ถูกต้องของเหล่าเยาวชนทั้งหลายนั่นเอง
height=167
อย่างไรก็ตามก็มีหลายฝ่ายที่ค่อนข้างไม่เห็นด้วยกับการแบนคำว่า “ครัช” ในครั้งนี้เพราะเห็นว่าภาษาดังกล่าวเป็นการใช้กันเพียงแค่ในโลกออนไลน์ซึ่งสามารถดิ้นได้ตามวิถีทางของภาษาที่ยังไม่ตายไม่ใช่การใช้อย่างเป็นทางการที่ต้องทำให้ถูกกิจจะลักษณะแต่อย่างใด ซึ่งงานนี้ก็ต้องมารอดูกันว่าทางเว็บบอร์ด JokerGameTH จะมีมาตรการอย่างไรต่อไปนะเครปหมูหยองสอดไส้สตรอว์แบร์รี่...อิอิอิ
เครดิต: ป๋าเอก TechXcite
ที่มา: jokergameth via dramaaddict

เปรียบเทียบ สเปค iPhone 5S vs Nexus 5 รุ่นใดเหนือกว่า ?

เปรียบเทียบ สเปค  vs Nexus 5 รุ่นใดเหนือกว่า ?

วางจำหน่ายในไทยอย่างเป็นทางการแล้ว ทั้ง iPhone 5S (ไอโฟน 5S) สมาร์ท โฟนรุ่นเรือธงจาก Apple ที่ในปีนี้ ชูจุดเด่นในเรื่องของ Apple A7 แบบ 64-bit ประมวลผลได้รวดเร็วทันใจ และระบบป้องกันความปลอดภัยแบบใหม่กับ Touch ID สแกนลายนิ้วมือเพื่อปลดล็อค โดย iPhone 5S นั้น ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 23,900 บาท
ส่วนอีกรุ่น ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อไม่นานมานี้ กับ LG Nexus 5 แอนดรอยด์โฟนรุ่นแรก ที่มาพร้อมกับ ระบบปฏิบัติการ Android 4.4 KitKat ซึ่งวางจำหน่ายในไทยแล้วเช่นกัน ในราคา 16,900 บาท มาดูกันครับว่า เมื่อนำ iPhone 5S vs Nexus 5 เปรียบเทียบสเปคกัน 2 สมาร์ทโฟนต่างค่าย ต่างดีไซน์นี้ จะโดดเด่นกันในด้านใดบ้าง
เปรียบเทียบสเปค iPhone 5S vs Nexus 5
iPhone 5S vs Nexus 5: การออกแบบ
สำหรับการออกแบบ Nexus 5 นั้น ยังคงคล้ายกับรุ่นก่อนหน้าอย่าง Nexus 4 โดยตัวเครื่องทำมาจากพลาสติก และมีน้ำหนัก 130 กรัม เบากว่า Nexus 4 เล็กน้อย ส่วน iPhone 5s นั้น มีขนาดเท่ากับ iPhone 5 นั่นก็คือ 123.8 x 58.6 x 7.6 มิลลิเมตร และหนัก 112 กรัม แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปก็คือ ปุ่ม Home รองรับการสแกนลายนิ้วมือ กับ Touch ID และมีสีให้เลือกมากขึ้น ได้แก่ สีทอง, สีเทา-ดำ และ สีเงิน-ขาว
iPhone 5S vs Nexus 5: ขนาดหน้าจอ
Nexus 5 ได้เปรียบกว่า iPhone 5S ตรงที่หน้าจอมีขนาดใหญ่กว่า อยู่ที่ 4.95 นิ้ว ความละเอียดแบบ Full HD 1920 x 1080 พิกเซล ในขณะที่ iPhone 5S (ไอโฟน 5S) ขนาดหน้าจออยู่ที่ 4 นิ้ว ซึ่งท่านที่ชอบหน้าจอใหญ่ Nexus 5 จะได้เปรียบมากกว่า แต่ในเรื่องความคมชัด และความละเอียดในการแสดงผล รุ่นใดจะชัดเจนกว่า คงต้องให้ผู้ใช้เป็นคนตัดสินครับ
iPhone 5S vs Nexus 5: กล้อง
ทั้ง iPhone 5S และ Nexus 5 มาพร้อมกับกล้องด้านหลัง ความละเอียด 8 ล้านพิกเซลเท่ากัน แต่ iPhone 5S มาพร้อมไฟแฟลชแบบ Dual-LED ที่ช่วยทำให้การถ่ายภาพด้วยแฟลช มีสีสันใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด ส่วน Nexus 5 ใช้ไฟแฟลชแบบ LED
iPhone 5S vs Nexus 5: ราคา
ภายใต้คุณสมบัติด้านการใช้งานที่ค่อนข้างใกล้เคียงกัน ดูเหมือนว่า Nexus 5 จะได้ภาษีดีกว่า ในเรื่องของ ราคา ครับ เพราะเปิดตัวมาด้วยราคาที่ถูกกว่า iPhone 5S มากพอสมควรเลยทีเดียว โดย ราคา nexus 5 ในไทย อยู่ที่ 16,900 บาท ส่วน iPhone 5S ราคาอยู่ที่ 23,900 บาท สำหรับความจุ 16 GB
iPhone 5S vs Nexus 5: เลือกรุ่นไหนดี ?
เป็นคำถามที่ตอบได้ยากครับว่า ระหว่าง iPhone 5S กับ Nexus 5 ควรจะเลือกซื้อรุ่นไหน เพราะสิ่งที่จะตัดสินได้ ก็คือ ความชื่นชอบของผู้ซื้อเป็นหลักนั่นเอง ถ้าหากชอบการปรับแต่ง สมาร์ทโฟน เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว Nexus 5 คือคำตอบที่ดีที่สุด เนื่องจากเป็น มือถือแบบ Pure Android ที่สามารถปรับแต่ง อินเทอร์เฟส ได้ตามใจ นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับ OS เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดอย่าง Android 4.4 KitKat ในขณะที่ iPhone 5S แม้จะปรับแต่งได้ไม่มากเท่า Nexus 5 แต่ก็ได้ความน่าเชื่อถือ ในเรื่องของซอฟท์แวร์ และฮาร์ดแวร์ ที่ได้รับการยอมรับจาก ผู้ใช้ iPhone ทั่วโลกนั่นเองครับ
สนับสนุนเนื้อหา: www.techmoblog.com 
ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีรอบโลกได้ที่นี่ >>> www.hitech.sanook.com

วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

4G กำลังจะตกยุค เมื่อ 5G กำลังจะมา

 กำลังจะตกยุค เมื่อ 5G กำลังจะมา

ระหว่างที่ 3G ในบ้านเรายังเร็วบ้างช้าบ้าง บางทีก็เผลอเปลี่ยนสัญลักษณ์ 3G กลายเป็นตัว E มันซะดื้อๆ ซึ่งในระหว่างที่ 3G บ้านเรายังต้องปรับปรุงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง Huawei บริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศจีนเริ่มมองข้าม 4G ไปแล้ว และจะขอมุ่งมั่นพัฒนา “5G” กันให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย !!
การประกาศเจตนารมณ์เพื่อพัฒนา 5G ครั้งนี้ของ Huawei ทุ่มเงินไปกว่า 600 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับการวิจัยและพัฒนาให้ 5G สามารถใช้งานได้จริงภายในระยะเวลา 5 ปีนับจากนี้  ซึ่ง 5G จะให้ความเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ 10Gbps เร็วกว่า 4G 10 เท่า และเร็วกว่า 3G ถึง 5,000 เท่า ช่วยให้การดาวน์โหลดภาพยนตร์ HD ใช้เวลาได้เพียง 1 วินาทีเท่านั้น
นอกจากการประกาศโครงการ 5G ในครั้งนี้ของ Huawei แล้ว ก่อนหน้านี้ยักษ์ใหญ่อย่าง Samsung, Ericsson, ZTE, China Mobile, เครือข่ายในประเทศอังกฤษ รวมไปถึงบางประเทศในแถบยุโรปก็เริ่มต้นวิจัยและพัฒนา 5G กันอย่างจริงจังแล้วด้วย
เห็นแบบนี้แล้วประเทศไทยจะช้าอีกไม่ได้แล้วนะครับ ^^
สนับสนุนเนื้อหา: Arip

[เคล็ดไม่ลับ] 10 วิธียืดพลังงานแบตเตอรี่โน๊ตบุ๊คให้นานขึ้น

[เคล็ดไม่ลับ] 

หลายคนคงประสบปัญหากับพลังงานแบตเตอรี่ของโน๊ตบุ๊คอยู่ได้ไม่นานเวลานำออกไปใช้ข้างนอก วันนี้เรามี 10 วิธีประหยัดพลังงานแบตเตอรี่ให้ใช้ได้นานขึ้น และทำให้คุณไม่หงุดหงิดเวลาแบตเตอรี่หมดเร็วอีกด้วย
1. ลดความสว่างหน้าจอลง
วิธีที่ง่ายและได้ผลมากที่สุด ก็คือ การลดความสว่างของหน้าจอโน๊ตบุ๊ค ซึ่งคุณสามารถทำได้ง่ายๆ โดยการกดปุ่มควบคุมความสว่างบนคีย์บอร์ด หรือตั้งค่าใน Control Panel อย่างเช่น หน้าจอโน๊ตบุ๊คจะสลัวลงเมื่อไม่ได้ใช้งานเป็นเวลา 2 นาที หรือหน้าจอดับไปเลย เมื่อไม่ได้ใช้งานเป็นเวลา 5 นาที เป็นต้น
2. งดการใช้ Background Slideshows บนหน้า Desktop
สำหรับระบบปฏิบัติการ Windows 7 นั้น จะมีลูกเล่นหลายๆ อย่างที่น่าสนใจให้เลือกใช้ หนึ่งในนั้นก็คือ ความสามารถในการ Rotate วอลเปเปอร์หน้า Desktop ซึ่งจะใช้พลังงานแบตเตอรี่ไปพอสมควร โดยคุณสามารถปรับเปลี่ยนได้โดยการเพิ่มระยะเวลาการเปลี่ยนวอลเปเปอร์ให้มากขึ้น จากปกติที่ตั้งค่าไว้ที่ 30 นาที ก็อาจจะเป็น 1 ชั่วโมงหรือ 2 ชั่วโมงแทน
3. ปิดระบบเชื่อมต่อ
ระบบเชื่อมต่อ ก็อย่างเช่น บลูทูธ, Wireless, Wi-Fi ถ้าไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ ก็ปิด เพราะคงไม่มีใครใช้ทั้ง Wireless และ Wi-Fi ในเวลาเดียวกัน หรือไม่ก็ส่งข้อมูลผ่านทางบลูทูธตลอดเวลา
4. งดการเปิดหลายๆ โปรแกรม
พยายามเปิดเฉพาะโปรแกรมที่จำเป็นต้องใช้เท่านั้น เพราะยิ่งเปิดโปรแกรมเยอะมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งใช้พลังงานแบตเตอรี่มากขึ้นเท่านั้น
5. งดการใช้แบ็คกราวน์แอพพลิเคชั่น
ปกติแล้ว เวลาเปิดแอพพลิเคชั่นขึ้นมา 1 ตัว มักจะมีแบ็คกราวน์แอพพลิเคชั่น run ตามมาอีกมากมาย ซึ่งจะทำให้พลังงานของแบตเตอรี่เหลือน้อยลง แบ็คกราวน์แอพพลิเคชั่น ได้แก่ ZumoDrive, SugarSync, PandoraOne, DropBox, OneNote Side Note
6. งดใช้การรับส่งอีเมลล์แบบอัตโนมัติใน Microsoft Outlook
โปรแกรม Microsoft Outlook จะตั้งค่าการอัพเดตข้อความใหม่ๆ ทุกๆ 30 นาที เมื่อใดก็ตามที่ Microsoft Outlook อัพเดต ก็จะใช้พลังงานของแบตเตอรี่ไปเช่นกัน การตั้งค่าให้ Microsoft Outlook อัพเดตช้าลงจะช่วยประหยัดพลังงานของแบตเตอรี่ได้
7. Defragment ฮาร์ดดิสก์บ้าง
การ Defragment คือการสแกนไฟล์ทั้งหมดและเชื่อมไฟล์ที่แยกกันอยู่ให้ติดต่อกัน ทำให้ฮาร์ดดิสก์ทำงานได้เร็วขึ้น ฉะนั้นควรตั้งตารางการ Defragment อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง
8. นำแผ่นซีดี / ดีวีดี ออกจากไดร์ฟ
ทุกครั้งที่เราเปิดคอมพิวเตอร์ ถ้าหากมีแผ่นซีดี / ดีวีดี อยู่ในไดร์ฟ ก็จะหมุนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งการหมุนของแผ่นซีดีนั้นจะเปลืองพลังงานแบตเตอรี่มาก ฉะนั้น อย่าลืมนำแผ่นซีดี / ดีวีดี ออกทุกครั้งที่ไม่ได้ใช้งาน
9. ใช้การ Hibernate แทน Sleep
บ่อยครั้งที่หลายคนปิดโน๊ตบุ๊คในโหมด Sleep เพราะต้องการคงโปรแกรมที่กำลังใช้งานอยู่ ซึ่งโหมด Sleep นั้นก็ยังใช้พลังงานแบตเตอรี่ ถึงแม้ว่าจะใช้น้อยก็ตาม สำหรับโหมด Hibernate นั้นจะคล้ายๆ กับโหมด Sleep แต่จะไม่ใช้พลังงานแบตเตอรี่ อีกทั้งตอนเปิดเครื่องก็ยังสามารถใช้โปรแกรมที่เปิดอยู่แล้วนั้นได้เลยทันที
10. ถอดแบตเตอรี่ออกถ้าไม่ได้ใช้
ถ้าหากคุณต้องเสียบปลั๊กโน๊ตบุ๊คทิ้งไว้เป็นอาทิตย์ ควรถอดแบตเตอรี่ออกและเก็บไว้ในที่แห้ง และอย่าพยายามปล่อยให้แบตเตอรี่หมดก่อนที่จะนำมาชาร์ต วิธีนี้จะเป็นการถนอมแบตเตอรี่ให้อยู่ได้นานๆ
แปลและเรียบเรียงโดย : NF Staffs
ที่มา : laptoplogic
ขอบคุณเนื้อหา และภาพประกอบ